วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เมืองพระนคร (Angkor) : ปราสาทขอมเทวาลัยอันยิ่งใหญ่

เมืองพระนคร (Angkor) : ปราสาทขอมเทวาลัยอันยิ่งใหญ่

                 นครวัด ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตัวเทวสถานถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยคลาสสิกรุ่งเรือง และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา โดยปรากฏในธงชาติ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ นครวัด ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ เมืองพระนคร แต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมชม นครวัด ราว 1,600,000 คน และยังคงความงามเหมือนเมื่อก่อนไม่เปลี่ยนแปลง พิสูจน์ได้จากการมาเยือนของผู้คนจากทั่วโลกตั้งแต่อดีตที่มีการค้นพบจนถึงปัจจุบัน และเป็นฉากหลังของหนังดังหลายๆ เรื่องๆ


ภาพจาก : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/41/Angkor_Wat.jpg/800px-Angkor_Wat.jpg

                   เมืองพระนคร หรือแองกอร์  (
Angkor) คือหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองของอาณาจักรเขมรในอดีต ทั้งยังสะท้อนภูมิปัญญาอันชาญฉลาดทางสถาปัตยกรรม และประติมากรรมของบรรพชนขอมโบราณ ประวัติศาสตร์ของหมู่ปราสาทเมืองพระนครได้เริ่มต้นขึ้นหลังพระเจ้าชัยวรมัน ที่ 2 มหาปราสาทนครวัดใช้เวลาในการก่อสร้างเกือบตลอดรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ยาวนานกว่า30 ปีประมาณกันว่าหินที่นำมาสร้างนั้นเป็นจำนวนหลายล้านลูกบาศก์เมตร มีแหล่งอยู่ที่เทือกเขาพนมกุเลนซึ่งทอดยาวอยู่ด้านหลังมหาปราสาทตรงปลายฟ้าที่อยู่ห่างออกไปกว่า50 กิโลเมตรใช้ช้างนับพันเชือกสำหรับขนหินถึงกระนั้นก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ยังมีการก่อสร้างเพิ่มเติมในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่และสลักภาพบนผนังระเบียงคตเพิ่มจนครบแปดภาพในสมัยของนักองค์จันทร์  (พ.ศ.2059-2099) แม่น้ำด้านหลังมหาปราสาทนครวัดคือแม่น้ำเสียมเรียบมีต้นน้ำจากยอดเขาพนมกุเลนหินที่นำมาจากเทือกเขาพนมกุเลนส่วนหนึ่งล่องแพมาตามลำน้ำสายนี้ มหาปราสาทนครวัดจึงเป็นสถานที่หลอมรวมดวงวิญญาณขององค์เทวราชาแห่งขอม


ภาพจาก : http://ichef.bbci.co.uk/wwfeatures/w
m/live/1280_720/images/live/p0/4w/c1/p04wc1py.jpg

                นักโบราคดีบางท่านสันนิษฐานว่า เมื่อสร้างปรางค์ประธานเสร็จก็มีการนำประติมากรรมลอยตัวรูปพระวิษณุมาประดิษฐานไว้ตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดูไวษณพนิกายที่พระเจ้าชัยวรมันที่ทรงเคารพนับถือโดยเชื่อว่า พระองค์ก็คือพระวิษณุอวตารลงมาปกครองโลกรูปสลักจึงเป็นตัวแทนกษัตริย์และเทพเจ้าตามลัทธิเทวราชา
ภาพจาก : https://en.wikipedia.org/wiki/Angkor_Wat#/media/File:Angkor_Wat_Tempel_13.jpg

 ครั้นเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตก็นำพระศพมาฝังไว้ที่ใต้ฐานเทวรูป ณ ปรางค์องค์กลางเพื่อให้ดวงวิญญาณหลอมรวมกลับเป็นเทวะอีกครั้งและได้รับพระนามหลังสวรรคตว่า
บรมวิษณุโลกและมหาปราสาทนครวัดในสมัยนั้นก็ถูกเรียกว่าพระวิษณุโลก” ก่อนจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นนครวัด” ในการเข้าชมมหาปราสาทนครวัด นอกจากโครงสร้างทางศิลปสถาปัตยกรรมแบบปราสาทหิน” หรือเทวลัย” อันใหญ่โตโอฬารสมกับเป็นทิพยวิมานของเทพเจ้าบนโลกมนุษย์แล้วยังมีภาพจำหลักหรือแกะสลักลงบนผนังหินที่ระเบียงคดชั้นนอกคำว่าระเบียงคดหมายถึงทางเดินที่ผนังกั้นมีหลังคาคลุมคล้ายห้องยาวต่อเนื่องที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อมรอบปราสาทชั้นในภาพจำหลักที่ระเบียงคดปราสาทนครวัดหรือเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าระเบียงประวัติศาสตร์” ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้มาเยือนทุกยุคทุกสมัยมา

ภาพจาก : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/84/Awatoceanofmilk01.JPG/800px-Awatoceanofmilk01.JPG
งานประติมากรรมปราสาทนครวัด (Angkor Wat) มีขนาดใหญ่มากถึง 200,000 ตารางเมตร ตัวปราสาทสูง 60 เมตร ยาว 100 เมตร และกว้าง 80 เมตร มีแผนผังที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดยอดของปราสาทขอม มีปราสาท 5 หลังตั้งอยู่บนฐานสูงตามคติของศูนย์กลางจักรวาล มีคูน้ำล้อม รอบแทนทะเลสีทันดร (มหาสมุทรบนสวรรค์) ใช้เวลาสร้างร่วม 100 ปี ด้านกำแพงชั้นนอกรอบปราสาท มีความยาว 800 เมตร  มีภาพแกะสลักหินเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และเรื่องราวจากวรรณคดี และรูปแกะสลักนางอัปสรหรือเทพธิดาอีกถึง 1,635 รูป เป็นภาพแกะสลักนูนต่ำ ลักษณะเทพธิดาเหล่านี้คือ เท้าติดพื้น มองไปด้านหน้า อากัปกิริยาอ่อนช้อยยวนตา  เสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับแต่ละรูปแทบจะไม่ซ้ำกันเลย  ปราสาทนครวัดถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยคลาสสิกรุ่งเรือง และได้กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติโดยปรากฏในธงชาติของประเทศกัมพูช


ภาพจาก : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4a/Angkor_Wat.jpg
การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
เมืองพระนคร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม ภายใต้ชื่อ "พระนคร" เมื่อปี พ.ศ. 2535 หลังจากสงครามกลางเมืองในเขมรยุติแล้ว องค์การยูเนสโกได้เข้ามาช่วยบูรณะฟื้นฟูปราสาทและได้จัดตั้งโครงการอย่างกว้างขวาง เพื่อป้องกันสถานที่และบริเวณโดยรอบ เมืองพระนครได้ถูกรับเลือกเป็นมรดกโลกโดยมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมจำนวน ข้อ คือ
(i) เป็นตัวแทนในการแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันชาญฉลาดของมนุษย์

(ii) เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม

(iii) เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว

 (iv) เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนาทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ


ภาพจาก : https://www.google.co.th/url?sa=i&rct=j&q=&e=8&ved=0ah74413218264


กกกกกกกกนครวัด เมืองมรดกโลก ดินแดนแห่งอารธรรมโบราณ ปัจจุบันนครวัดกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแปลกใหม่ที่ได้รับความนิยมจากนักเดินทางภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกและมีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นงดงามตระการตาตามแบบสถาปัยกรรมของเขมรในยุคคลาสิค จนทำให้ถูกจัดอันดับเป็นวัดที่สวยที่สุดอันดับต้นๆของโลก นักท่องเที่ยวที่เข้ามาชมปราสาทนครวัด หลายคนทึ่งในแรงศรัทธาของกษัตริย์ขอมโบราณที่มีต่อวิษณุเทพที่นับถือ  วิศวกรหรือสถาปนิกที่มาชมมหาปาสารทแห่งนี้ ก็อดตื่นใจไปกับการก่อสร้างที่พันปีก่อนไม่มีเทคโนโลยีใดๆมาช่วยเลย  นักศิลปะที่มาเห็นภาพแกะสลักบนผนังระเบียงคดภายในมหาปราสาทนครวัด ก็ซาบซึ้งไปกับผลงานอันมีชีวิตชีวา ทั้งภาพนางอัปสรกว่าพันองค์ ภาพในเรื่องราววรรณคดีรามเกียรติ์ ภาพการกวนเกษียรสมุทร ภาพกองทัพสมัยโบราณ .. นักบวชในศาสนาต่างๆที่ได้มาเห็นมหาปราสาทนครวัดต่างก็เห็นพลังแห่งศรัทธาที่ทำให้เกิดสิ่งก่อสร้างอันมหึมานี้ แม้ว่าการก่อสร้างมหาปราสาทนี้เสร็จไม่นาน ความล่มสลายจะตามมาในแผ่นดินขอมก็ตาม


อ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (2557). นครวัด[ระบบออนไลน์]. จาก
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0 สืบค้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2560


สถาบันพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัทธยาศัยภาคเหนือ. (2558).มรดกโลกในกัมพูชา 1 : เมืองพระนคร[ระบบออนไลน์]. จาก
http://aseannotes.blogspot.com/2014/07/1_20.html สืบค้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2560

สถาบันโอเชี่ยนสไมล์. (2558). ปราสาทนครวัด : สิ่งมหัศจรรย์ของโลก[ระบบออนไลน์] 
. จาก http://www.oceansmile.com/KHM/AngkorWat.htmสืบค้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2560


โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์ (Baroque Churches of the Philippines)

โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์ (Baroque Churches of the Philippines)


กกกกกกกกโบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปินส์ ประกอบด้วยโบสถ์โรมันคาทอลิก 4 แห่งที่สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 16-18 ในช่วงที่ฟิลิปปินส์เป็นอาณานิคมของสเปน นอกจากจะแสดงถึงการเข้ามาของศาสนาคริสต์ในหมู่เกาะของฟิลิปปินส์แล้ว ยังเป็นศูนย์กลางอำนาจในการปกครองอาณานิคมของสเปนด้วย สถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของโบสถ์ไม่เพียงแค่สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของสถาปัตยกรรมแบบสเปนหรือละตินอเมริกันกับสภาพ
แวดล้อมในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังมีการผสมผสานศิลปลวดลายของจีนอีกเข้าไปอีกด้วย

ภาพจาก : http://4.bp.blogspot.com/C5yT0UD_q_Q/U9z
กกกกกกกกเนื่องจากความมีอิทธิพลของคริสตจักรในทางการเมือง ทำให้คริสตจักรและรัฐถือเป็นหนึ่งเดียวกัน คริสตจักรจึงกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตีจากการปฏิวัติและการก่อกบฏในประเทศ โบสถ์เหล่านี้จึงไม่ใช่มีเพียงสิ่งก่อสร้างที่ให้บริการทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังปรากฏสิ่งก่อสร้างในลักษณะป้อมปราการอยู่ด้วย เช่น ในกรณีของโบสถ์ซานตามาเรีย ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาและทำหน้าที่เป็นป้อมปราการในช่วงเวลาวิกฤต และโบสถ์ ไมอากาโอ ซึ่งทำหน้าที่ต้านทานการโจมตีเป็นครั้งคราวของชาวมุสลิมจากภาคใต้  นอกจากนี้ที่ตั้งของประเทศฟิลิปปินส์ยังตั้งอยู่บนแนวที่เรียกว่าวงแหวนแห่งไฟแปซิฟิก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีแนวโน้มเกิดแผ่นดินไหวได้บ่อย ๆ การก่อสร้างจึงให้ความสำคัญกับรากฐานของโบสถ์ แม้บางแห่งจะรับความเสียหายจากแผ่นดินไหว แต่ก็ได้สร้างขึ้นมาใหม่ทดแทน โบสถ์ทั้ง 4 แห่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมร่วมกันเมื่องปี พ.ศ.2536

ที่ตั้ง
โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมของอินโดนีเซีย ประกอบด้วยโบสถ์ 4 แห่ง คือ

1.โบสถ์ซานออกัสติน ในกรุงมะนิลา (San Agustin Church in Manila) 

ภาพจาก:  http://3.bp.blogspot.com/EA5r13_X7AI/U90ArVuQCWI/ 2-San+Agustin+Manila+7.png
             โบสถ์ซานออกัสตินในกรุงมะนิลา เป็นโบสถ์คาทอลิกแห่งแรกที่สร้างขึ้นบนเกาะลูซอนในปี ค.ศ. 1571 (พ.ศ. 2114) ทันทีที่สเปนมีชัยเหนือมะนิลา เป็นโบสถ์ในลัทธิออกัสติน (ลัทธิของคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก ตั้งชื่อตามนักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป ค.ศ. 354 - ค.ศ. 450) ซึ่งเป็นนิกายแรกที่ประกาศพระวจนะในประเทศฟิลิปปินส์

             ตัวโบสถ์ในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นมาเป็นครั้งที่ 3 ในพื้นที่เดิม โบสถ์หลังแรกสร้างจากไม้ไผ่และใบจาก เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ 1571 (พ.ศ. 2114) แต่ถูกทำลายด้วยไฟไหม้จากการรุกรานในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1574 (พ.ศ. 2117)  โบสถ์หลังที่สองสร้างด้วยไม้อยู่บนพื้นที่เดิม และถูกทำลายลงในเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ 1583 (พ.ศ. 2126) ด้วยไฟไหม้ โบสถ์หลังที่สามสร้างด้วยหิน การก่อสร้างเริ่มใน 1586 (พ.ศ. 2129) เสร็จสมบูรณ์เมื่อ 19 มกราคม ค.ศ.1607 (พ.ศ. 2150) ต่อมาโบสถ์แห่งนี้ได้กลายเป็นแม่แบบของโบสถ์ออกัสตินในประเทศฟิลิปปินส์

2. โบสถ์ซานตามาเรีย ในซานตามาเรีย จังหวัดอิโลคอสซูร์  (Santa Maria Church in Ilocos Sur)
ภาพจาก : http://1.bp.blogspot.com/-Gwxl9-Djq0w/U90Bz6HJI/AAAAyQ/rU6H9tfgA/s1600/02-StaMaria.png

             โบสถ์พระแม่แห่งอัสสัมชัน (The Church of Our Lady of the Assumption) หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ โบสถ์ซานตามาเรีย ในจังหวัดโลคอสซู ฟิลิปปินส์ สร้างตั้งขึ้นในปี 1765 ในที่ราบแคบ ๆ ระหว่างทะเลและเทือกเขากลางตอนของเกาะลูซอน นับว่าเป็นโบสถ์ออกัสติเนียนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในฟิลิปปินส์ ทำหน้าที่เป็นฐานสำหรับคริสต์ศาสนิกชนที่อยู่ทางตอนเหนือของหมู่เกาะ เป็นหนึ่งในสี่โบสถ์ยุคสเปน ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในชื่อ โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1993

             โบสถ์ซานตามาเรีย นอกจากจะเป็นสิ่งที่ให้ระลึกถึงสี่ศตวรรษของการปกครองของสเปนในพื้นที่นี้แล้ว ยังสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาโรคที่โดดเด่น ตัวอาคารโบสถ์ก่ออิฐสีแดงโดดเด่น มีโครงสร้างที่ป้องกันการถล่มเนื่องจากแผ่นดินไหว ตัวโบสถ์สร้างขึ้นบนเนินเขา ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นจุดชมวิวและเป็นป้อมปราการเท่านั้น แต่เป็นศูนย์กลางทางศาสนาในยุคแรกของการบริหารภูมิภาค โดยคริสต์ศาสนาและทหารของสเปน

3. โบสถ์ซานอกัสติน ในปาโออาย จังหวัดอิโลคอสนอร์เต (San Agustin Church in Paoay, Ilocos Norte)

ภาพจาก : http://3.bp.blogspot.com/-flSbBaqLF7c/U90BiAs1600/02-San+Agustin+Church+in+Paoay+4.png

             โบสถ์เซนต์ออกัสตินในปาโออาย เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ โบสถ์ปาโออาย (Paoay Church) เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิก สร้างจาก อิฐ หินปะการัง และไม้แปรรูป สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ 1710 (พ.ศ. 2253) ตัวโบสถ์เป็นศิลปะผสมระหว่างแบบกอทิกและบาโรค รวมทั้งได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบจีนและชวา
             เซนต์ออกัสตินในปาโออาย มีชื่อเสียงจากสถาปัตยกรรมที่เน้นคานขนาดใหญ่ที่ด้านข้างและด้านหลังของอาคาร มีหอระฆังสร้างขึ้นจากหินปะการัง ตั้งอยู่ห่างจากตัวโบสถ์ เพื่อความปลอดภัยหากเกิดแผ่นดินไหวหรือพายุไต้ฝุ่น นอกจากนี้ยังใช้หอระฆังเป็นหอสังเกตการณ์ในช่วงการปฏิวัติฟิลิปปินส์ปี ค.ศ.1896 และระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวอาคารได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวในปี ค.ศ.1865 (พ.ศ. 2048) และปี ค.ศ.1885 (พ.ศ. 2448)
ในปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) มีการขุดพบหลักฐานทางโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ เช่น โครงกระดูก และเครื่องปั้นดินเผาในบริเวณโบสถ์ ปัจจุบันได้นำไปแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ 

4. โบสถ์ซานโต โทมัส เดอวิลลานูวา ในไมอากาโอ จังหวัดอิโลอิโล (Sto. Tomas de Villanueva Church in Miagao, Iloilo)

ภาพจาก : http://2.bp.blogspot.com/-NPt4Sa8ftbA/U90CwbPv9rI/AAA/s1600/02-santo-tomas-church5.png
               โบสถ์ซานโต โทมัส เดอ วิลลานูวา ในไมอากาโอ หรือ โบสถ์ไมอากาโอ เป็นสถานปฏิบัติของศริสตจักรโรมันคาทอลิก นิกายออกัสติน สร้างขึ้นในปี ค.ศ 1731 (พ.ศ. 2274) เมืองและโบสถ์ได้ถูกทำลายลงโดยการรุกรานโจรสลัดมุสลิมในปี ค.ศ 1741 (พ.ศ. 2284) และในปี 1754 (พ.ศ. 2297)  ชึ่งเป็นเหตุให้เมืองถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในทำเลที่ปลอดภัยมากขึ้น โบสถ์ใหม่ได้สร้างขึ้นในปี ค.ศ 1787-1797 (พ.ศ. 2330-2340)
กกกกกกกกโบสถ์ทั้ง 4 แห่งนี้ นอกจากจะแสดงถึงการเข้ามาของศาสนาคริสต์ในฟิลิปปินส์แล้ว ยังเป็นศูนย์กลางอำนาจของสเปนในภูมิภาคนี้ในสมัยนั้นอีกด้วย และได้รับการยกย่องในด้านสถาปัตยกรรมด้วยศิลปะแบบบารอคของยุโรปที่สร้างสรรค์ด้วยช่างชาวจีนและฟิลิปปินส์  โบสถ์ทั้ง 4 แห่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกรวมกันในปี พ.ศ.2536   นอกจากจะเป็นสถานที่ปฏิบัติภาระกิจทางศาสนาแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นป้อมปราการเพื่อต้านทานการรุกรานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตามโบสถ์ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากไฟไหม้สองครั้ง ในระหว่างการปฏิวัติกับสเปนในปี 1898 และในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง


อ้างอิง

ท่องเที่ยวสะดุดตา. (2557). โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์[ระบบออนไลน์]. จาก 
ณัฐวดี  ช่วยพนัง. (2558). ฟิลิปปินส์[ระบบออนไลน์]  .  จาก https://sites.google.com/site/worldheritageinaseann/filippins สืบค้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2560

ASEAN50 2017. (2556). 6 มรดกโลกสำคัญในฟิลิปปินส์[ระบบออนไลน์]. จาก http://thailand.prd.go.th/1700/ewt/aseanthai/ewt_news.php?nid=5787&filename=index  สืบค้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2560


กลุ่มเมืองโบราณอาณาจักรพยู (Pyu Ancient Cities) :มรดกโลกแห่งแรกของพม่า

กลุ่มเมืองโบราณอาณาจักรพยู(Pyu Ancient Cities) :มรดกโลกแห่งแรกของพม่า


              กลุ่มเมืองโบราณอาณาจักรพยู (Pyu Ancient Cities) ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งแรกของเมียนมาร์ โดยรวมไปถึงพื้นที่ของเมืองโบราณศรีเกษตร (Sri Ksetra) เปียทะโนมโย (Peikthanomyo) และหะลินยี (Halingyi) ที่สร้างขึ้นในยุคเดียวกัน ในราวพุทธศตวรรษที่ 4 เมืองเก่าพยูของชนชาติพยู ตั้งหลักแหล่งมาเนิ่นนานอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำอิรวดี มีอายุประมาณ 1,000 ปี โดยมีสิ่งที่หลงเหลืออยู่ได้แก่ ซากพระราชวัง เจดีย์ กำแพงอิฐ พระพุทธรูป และสุสานโบราณ


 ภาพจาก : http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000007299301.JPEG
              ชาวพยู เป็นชนชาติดั้งเดิมที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนชาวพม่า มีอาชีพหลักในการทำเกษตรกรรม บริเวณถิ่นฐานที่ชาวพยูตั้งอยู่นั้นมีลักษณะเป็นที่ราบสูง ถึงแม้จะมีแม่น้ำไหลผ่าน แต่ในหน้าร้อนก็แห้งเหือด แต่ชาวพยูก็มีความสามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายได้ โดยการทำวิธีการผันน้ำจากแม่น้ำอิรวดีและแม่น้ำสายรอง เข้ามาเป็นตัวช่วยในการทำเกษตรกรรม และยังมีการขุดคูคลองรอบๆ เมือง พร้อมอ่างเก็บน้ำ เพื่อไว้ใช้น้ำในยามหน้าแล้ง เมื่อมีความเจริญมากขึ้น ชาวพยูรวมกันสร้างอาณาจักรขนาดใหญ่ขึ้นมา มีชื่อว่า อาณาจักรศรีเกษตร” อาณาจักรศรีเกษตรเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ ขนาดกว้างขวาง กินพื้นที่เกือบทั้งหมดของลุ่มน้ำอิรวดี โดยอาณาจักรศรีเกษตรนี้ ได้รับอิทธิพล ในเรื่องของภาษา ศิลปะ สถาปัตยกรรม และ พระพุทธศาสนาจากประเทศอินเดีย โดยสันนิษฐานว่าชื่อเมืองศรีเกษตร อาจได้มาจากชื่อเมืองโบราณในอินเดีย คือเมืองปุรี ในแคว้นโอริสสา
เมืองศรีเกษตรปัจจุบันตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองแปร นอกจากนี้ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันยังพบหลักฐานการก่อตั้งชุมชนของชาวพยูในเมืองเบคถาโนซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองพุกามประมาณ 100 กิโลเมตร และเมืองฮาลินอยู่ทางทิศเหนือของเมืองมัณฑะเลย์ ก่อนที่จะเสื่อมไป เนื่องจากถูกกลุ่มคนไตจากน่านเจ้ายกกองทัพลงมาตีและกวาดต้อนผู้คนชาวพยูไปอยู่ที่เมืองจาตุง ตอนใต้ของจีนบริเวณเมืองคุณหมิงปัจจุบัน


ภาพจาก : http://1.bp.blogspot.com/-v7-33OR5dDs/U-ZWYlI/AAAAA6g/rcgWMPys_SE/s1600/01-Pyu3.png

                หลักฐานทางสถาปัตยกรรมของชาวพยู ซึ่งเชื่อว่าเป็นรากฐานของงานสถาปัตยกรรมของชนชาติพม่า พบที่เมืองศรีเกษตร ได้แก่ เจดีย์ขนาดใหญ่แบบก่อตัน เป็นเจดีย์ทรงระฆังชื่อว่าเจดีย์บอบอจี (Bawbaw Gyi) และเจดีย์ปะยาจีย์ (Pya Gi) ซึ่งเชื่อว่าเป็นต้นแบบให้กับงานสถาปัตยกรรมของพม่าในยุคต่อ ๆ มา ได้แก่ เจดีย์ชเวดากอง มิงกาลาเจดีย์ เจดีย์ธรรมยันสิกะ และเจดีย์วิหาร เป็นสิ่งก่อสร้างจากอิฐที่มีลักษณะรวมกันระหว่างเจดีย์ก่อตันและอาคาร(วิหาร) ที่เข้าไปใช้สอยพื้นที่ภายในในการประกอบพิธีกรรมได้ เจดีย์วิหารที่สำคัญ ได้แก่ วิหารเบเบจี (Bebe Gyi) และวิหารเลเมียทนา (Limyethna) อาคารลักษณะนี้เชื่อว่าพัฒนาไปเป็นเจดีย์วิหารที่มีขนาดใหญ่ในสมัยพุกามต่อมา นอกจากนี้ยังพบหลักฐานงานประติมากรรมที่ทำจากหินสลัก ประติมากรรมดินเผา ซึ่งพบว่าเป็นดินชนิดเดียวกับอิฐที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารและเจดีย์ ประติมากรรมสำริด โดยมีการพบหลักฐานชิ้นสำคัญคือ ประติมากรรมสำริดกลุ่มนักดนตรีและนักเต้นรำ โดยที่ท่ารำนั้นแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์กับอารยธรรมอินเดียอย่างใกล้ชิด
ภาพจาก : https://travel.mthai.com/app/ads/2014/06
/140387123418-o-300x200.jpg      
ภาพจาก : https://travel.mthai.com/app/
uploads/2014/06/140123384-o-300x200.jpg

                จากหลักฐานที่พบ จึงนับได้ว่าชนชาติพยูเป็นชนชาติที่มีความสำคัญในการวางรากฐานงานสถาปัตยกรรมให้กับผู้คนยุคหลังของพม่าเป็นอย่างยิ่ง โดยได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดียนำมาปรับประยุกต์ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม วิถีชีวิตของตนอย่างเหมาะสม  ปัจจุบัน ทั้งศรีเกษตร เปียทะโนมโย และเมืองหะลินยี แทบจะไม่หลงเหลือความยิ่งใหญ่ในอดีตอีกแล้ว เหลือแค่เพียงซากปรักหักพัง ของโบราณสถาน ซึ่งไม่มีการจัดการที่ดี


               อย่างไรก็ตามสิ่งที่หลงเหลืออยู่ ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต และต่อจากนี้คงจะได้รับการดูแลที่ดีขึ้น จากยูเนสโก้ และประเทศพม่าเอง ในฐานะเมืองมรดกโลกอายุเก่านับพันปีที่จะเป็นสมบัติของคนทั้งโลกและต้องช่วยกันดูแลรักษาสืบต่อไป โดยในแต่ละปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวมาเยือนที่นี่มากกว่า 60,000 คน และเมื่อได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วแน่นอนว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาชมความงดงามของมรดกโลกแห่งแรกของพม่ามากขึ้น


อ้างอิง

travel.mthai (2556)มรดกโลกในเมียนมาร์ 1 : เมืองโบราณอาณาจักรพยู มรดกโลกแห่งแรกของพม่า [ระบบออนไลน์].  จากhttps://travel.mthai.com/world-travel/87302.html
สืบค้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2560 

สถาบันพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัทธยาศัยภาคเหนือ (2558)มรดกโลกในเมียนมาร์ 1 : กลุ่มเมืองโบราณอาณาจักรพยู [ระบบออนไลน์].  จาก http://aseannotes.blogspot.com/2014/08/blog-post_9.html
สืบค้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2560 


นิพนธ์ วัฒนประเสริฐ สขร./สปข.4 (2558)เมืองโบราณอาณาจักรพยู มรดกโลกแห่งแรกของพม่า: [ระบบออนไลน์]. จาก http://ewt.prd.go.th/ewt/region4/ewt_news.php?nid=58425&filename=index/FORTICLIENT_CONTINUE  สืบค้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2560 


เมืองพระนคร (Angkor) : ปราสาทขอมเทวาลัยอันยิ่งใหญ่

เมืองพระนคร (Angkor)  :  ปราสาทขอมเทวาลัยอันยิ่งใหญ่                  นครวัด ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตัวเทวสถ...